วิธีการหยุด ความคิดฟุ้งซ่าน จนทำให้เรานอนไม่หลับ

เรื่องAdminAlljitblog

ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดมาก เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักพบเจอเป็นปัญหาหลัก ๆ ในการรบกวนจิตใจของเราก่อนนอน

 

บทความนี้ Alljit ร่วมกับคุณวันเฉลิม คงคาหลวง (นักจิตวิทยาการปรึกษา) เจ้าของแฟนเพจ Trust.นักจิตวิทยาวิธีการหยุด ความคิดฟุ้งซ่าน จนทำให้เรานอนไม่หลับ

เป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน

ความคิดฟุ่งซ่านเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ความคิดฟุ่งซ่านนั้นมีหลายระดับและหลากหลายรูปแบบ เพื่อความง่ายการเปรียบเทียบกับลักษณะบุคคล

 

บุคคลที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช กับ ผู้ที่ไม่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช จะทำให้เราสามารถรับมือและอยู่กับความคิดฟุ่งซ่านนั้นได้

ความคิดฟุ้งซ่าน กับผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช

ผู้ป่วยยังไม่ได้ไปพบจิตแพทย์และรับยาที่ถูกกับอาการของตัวเอง หรือยังไม่ได้รับการทำจิตบำบัด การที่จะควบคุมความคิดฟุ่งซ่านนั้นก็อาจจะยาก เพราะความคิดฟุ่งซ่านคือต้นตอของปัญหา

 

ในความคิดฟุ่งซ่านจะมีปัญหาซ่อนอยู่ภายในใจของเราแต่เราไม่สามารถมองเห็นมันได้

 

ผู้ป่วยซึมเศร้ามักจะขาดการตระหนักรู้ถึงการเห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นความรู้สึกที่เป็นปมที่วนเวียนในจิตใจ 

 

ผู้ป่วยที่เป็นโรควิตกกังวล จะมีความกังวลต่อบางสิ่งบางอย่างที่ชัดเจน ผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ ก็จะมีภาวะความคิดย้ำทำต่อสิ่งที่ตัวเองทำ ฟุ่งซ่านกับสิ่งที่ตัวเองทำ ทำซ้ำไปซ้ำมา 

 

ในลักษณะความคิดฟุ่งซ่านของผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช จะต้องมีการรับยาทานยา มีการทำจิตบำบัด เมื่อได้รับการทานยาจะทำให้สมองยอมรับกับความคิดที่ฟุ่งซ่านได้

 

เพราะในสมองมีฟังก์ชันทางจิตใจ การทานยาจะสามารถทำให้ฟังก์ชันความคิดในสมองของผู้ป่วยสามารถควบคุมได้มากยิ่งขึ้น 

ความคิดฟุ้งซ่าน ของคนที่ไม่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช

เราต้องมาดูว่าความคิดที่ฟุ่งซ่านนั้นเกิดจากอะไร บางครั้งเกิดจากความเครียด ความวิตกกังวลทั่ว ๆ ไป เกิดขึ้นจากความเศร้าในจิตใจ ความคาดหวังหวัง พื้นฐานมีอยู่ว่าเราอาจจะไม่ได้แก้ความคิดฟุ่งซ่านได้

 

แต่เราสามารถตีกำแพงกั้นความคิดบางอย่าง เพื่อไม่ให้ความคิดฟุ่งซ่านกระทบกับเรามากเกินไป หรือเรียกว่าการควบคุมตัวเองในลักษณะหนึ่ง 

มี 2 แบบ

1. การคิดถึงอดีตและการกังวลถึงอนาคต 

เราอาจจะลืมไปว่าอดีตที่ผ่านมามันส่งผลถึงปัจจุบัน ปัจจุบันที่เป็นอยู่ก็คือต้นเหตุหรือสาเหตุที่จะสร้างภาพในอนาคต เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันได้ดีอนาคตก็จะออกมาดีตาม ถ้าปัจจุบันมันดีแล้วและไม่ได้แย่

 

ก็มาจากอดีตที่ไม่ได้แย่หรือเลวร้าย หรือบางครั้งอดีตอาจจะแย่หรือเลวร้ายมาก ๆ

 

แต่ในปัจจุบันเรายังคงอยู่ได้เราก็ต้องยอมรับว่า มันอยู่ได้นะ ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นทำร้ายเราในปัจจุบัน 

2. เราจะทำปัจจุบันให้ดีได้อย่างไร

เริ่มต้นจากอะไรที่เล็กน้อยในชีวิตประจำวัน การกินอะไรที่ดี นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม พูดคุยในสิ่งดี ๆ กับคนอื่นและคิดถึงสิ่งที่ดีกับตัวเอง

 

สิ่งเหล่านั้นที่กล่าวมาล้วนสามารถทำให้ปัจจุบันราบรื่นไปในทางที่ดีได้ และถ้าปัจจุบันตอนนี้มันไม่ได้ดีอย่างที่เราคาดหวังเราก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแก้ไขให้เป็นไปตามที่เราอยากทำในปัจจุบัน

 

เมื่อเราเชื่อในเวลาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สามารถย้อนกลับมาเชื่อว่าตัวเราสามารถทำปัจจุบันให้ดีขึ้นได้ ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันได้มากพอจะทำให้เราคิดถึงอดีตน้อยลง และกังวลใจกับอนาคตน้อยลง

 

การที่เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้นยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตรงหน้าได้ จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตด้วยการควบคุมความคิดที่เราฟุ่งซ่านได้