อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘ ด้านมืดของตัวเอง ‘ Meet Your Shadow!
เกริ่นก่อนว่ากิจกรรมที่ทำในรายการเป็นการทำงานกับตัวเอง ดีที่สุดถ้าเราจะตอบทุกอย่างอย่างที่เราคิด ไม่ต้องกลัวคนจะตัดสิน
ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาอ่าน ให้มันเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น ถ้ามันซื่อตรงมาก เราก็จะเข้าใจตัวเองได้ดีมากขึ้นไปด้วย
- นึกถึงคนที่เราไม่ชอบ คนแรกที่เด้งขึ้นมาในหัวใครที่เรารู้สึกไม่ชอบเขา เจอเขาที่ไรก็รู้สึกไม่สบายใจ หงุดหงิด
- เขียนถึงสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเขา นิสัยแบบไหนของเขาที่เราไม่ชอบ อะไรที่ทำให้เราไม่ชอบเขา อะไรที่เราเห็นในตัวเขาแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ เขียนออกมาใส่กระดาษ
- บนหัวกระดาษให้เขียนชื่อตัวเองลงไป
- เตรียมพบกับด้านมืดของเรา
อธิบายที่มา
ตัวกิจกรรมแรก มาจากแนวคิดที่เชื่อว่า จิตใจเราอะ เลือกแล้วเสมอว่าจะมองอะไร ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในตัวบุคคล
คนหนึ่งคนจริงๆ มีหลายมุม หลายนิสัยหลายบุคลิกมากๆ แต่เราเลือกที่จะมองสิ่งบางสิ่งเป็นข้อดี
และสิ่งบางสิ่งเป็นข้อเสีย มันแปลว่าอะไรพวกนั้น มีความสลักสำคัญบางอย่างกับตัวเรา
จริงๆ แล้วคนที่เราไม่ชอบ หรือสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวคนอื่น คือสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเองด้วย
ทฤษฎีใช้ได้แล้วแต่คน
บางคนที่ทำไปเกิดความรู้สึกหยุดหงิดใจได้ เป็นปกติ แต่อยากให้ลองดูก่อน ลองค่อยๆ ตรองดูว่ามันใช่ไหม
ถ้าไม่ใช่ หรือรู้สึกว่าไม่ตรง ทฤษฎีนี้ก็อาจจะไม่ใช่ทฤษฎีที่เหมาะกับเรา หรือการมองโลกในแบบของเรา ซึ่งมันไม่ผิดเลยทุกคน
Shadow Journal
อีกกิจกรรมจะเป็นการเขียนเหมือนกัน กิจกรรมแรกเรารู้จักว่าด้านมืดของเราหน้าตาประมาณไหน
ทีนี้เราจะมาลองเจาะและทำความเข้าใจเขามากขึ้นกัน อันนี้จะมีลิสต์คำถามที่รวบรวมมา
เพื่อน ๆ เลือกได้ว่าอยากทำข้อไหน หรือทำทั้งหมดก็ได้ แต่มันก็จะเป็นการเขียนที่ชวนเราไปสำรวจตัวเอง
1.เราเคยต้องซ่อนบางส่วนของตัวเราเพื่อให้ได้รับความรักและการยอมรับรึเปล่า สิ่งนั้นคืออะไร
2.ข้อห้ามในครอบครัวหรือในสังคมที่เราอยู่คืออะไร
3.ในอดีต เราได้รับคำชมหรือโดนลงโทษเพราะพฤติกรรมแบบไหน
4.คนแบบไหน หรือสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ที่รุนแรงกว่าปกติ (ทั้งอารมณ์เชิงบวกและลบ)
5.พฤติกรรมไหนที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ ถึงแม้ว่าเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นก็ตาม
6.ส่วนไหนของตัวเองที่เรารู้สึกละอาย ไม่กล้าเปิดเผยให้คนอื่นเห็น
7.อะไรในชีวิต (งาน คนรัก เพื่อน ตัวตนเรา) ที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ เพราะอะไร
8.เราอิจฉาอะไรในคนอื่น และเพราะอะไรเราถึงทำแบบคนๆ นั้นไม่ได้
9.คุณลักษณะแบบไหนของพ่อแม่เราที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยง
10.วันนี้เราได้ตำหนิตัวเองรึเปล่า ตำหนิในเรื่องอะไร
ความหมาย/ทฤษฎี
หลังจากทำกิจกรรมไปแล้ว เราลองมาทำความเข้าใจกันดีกว่าว่า Shadow มันคืออะไร มาจากไหน แล้วทำไปแล้วได้อะไร
ด้านมืด หรือ Personal Shadow Carl Jung ให้นิยามไว้ว่า
มันคือ ส่วนหนึ่งของตัวเราที่เราเก็บกดไว้ เป็นส่วนที่เราไม่ชอบ ไม่อยากรับรู้ หรือทนไม่ได้ที่จะตระหนักถึงมัน
the repressed parts of ourselves, the parts we find unpleasant or cannot tolerate acknowledging (Jung, 1958)
มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราที่เราไม่อยากให้คนอื่นเห็น และตัวเราเองก้ไม่อยากยอมรับมันเช่นกัน เป็นได้ทั้งบุคลิกภาพบางส่วนของเรา
ลักษณะนิสัย พฤติกรรมบางชนิด ไปจนถึงอารมณ์บางอารมณ์ที่เราไม่ชอบในตัวเอง
มันคือชิ้นส่วนหนึ่งของเราที่อาจไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นหรืออยากจะเป็น (Self image) แล้วเราก็คัดเอาชิ้นส่วนพวกนี้ไปใส่ในห้องดำ ในส่วนลึกของจิตใจเรา
มันก็คือส่วนต่าง ๆ ที่เรายอมรับไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองนี้แหละ แล้วเราก้เลยเอาไปซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจเรา
ความหมาย Shadow Work
ส่วนกิจกรรมที่เราทำไปตอนต้นอะ เรียกว่า shadow work ก็คือการทำงานกับด้านมืดของเรา
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบที่ทำร่วมกับจิตแพทย์หรือทำด้วยตัวเอง มีได้หลากหลายวิธีหลากหลายเทคนิค
โดยเป้าหมายหลักของ Shadow Work ก็คือทำให้เราตระหนักรู้ในด้านมืดของเรา และรวมมันเขากับตัวเอง ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของเราโดยสมบูรณ์
ทฤษฎี Psyche
Shadow มาจากคอนเซ็ปของแผนที่จิตใจ หรือ Psyche ที่ Carl Jung เป็นคนคิดค้นขึ้น โดยจูงตั้งใจจะอธิบายกระบวนการทำงานของจิตใจเราโดยออกแบบมาเหมือนเป็นแผนที่ของจิตใจ
ซึ่งตัว Psyche จะประกอบไปด้วยสามส่วนใหญ่ ๆ คือ Consciousness จิตสำนึก Personal Unconscious
จิตใต้สำนึกส่วนบุคคล และ Collective Unconscious จิตใต้สำนึกร่วมของมนุษย์
Conscious ก็คือส่วนของจิตใจที่เรายังรับรู้ เข้าใจ และเข้าถึงได้ ใน Conscious จะมีสิ่งที่เรียกว่า Ego
ซึ่งคือตัวตนของเราตามความเข้าใจของเราเอง (มันคือคำตอบของคำถามที่ว่า เราคือใคร)
Personal Unconscious ก็จะคอนเซ็ปคล้ายๆ ฟรอย คือส่วนต่างๆ ที่เราเก็บกด ซ่อน หรือไม่อยากรับรู้
ในนี้ก็จะมี Shadow หรือว่าด้านมืดที่เราคุยกันไป ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่เราฝังไว้ใน Personal Unconscious
มีทั้งที่มาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ปฎิสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัว ประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา
เลยเป็นสาเหตุตอนต้นที่ให้ทุกคนทำ ถึงมีการถามถึงดีต ถึงครอบครัว ถึงวัยเด็ก เพราะมีส่วนในการสร้างด้านมืดของเราด้วย
ส่วน Collective Unconsciouss จะเป็นอะไรที่ใหม่และก็แตกต่างจากแนวคิดของคนอื่น ๆ
คือ จูงเชื่อว่ามนุษย์มีส่วนของจิตใจที่แชร์ร่วมกันและส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษ
เหมือนเซ็ตติ่งพื่นฐานที่เราจะมีคล้าย ๆ กันตั้งแต่เกิด เหมือนที่ว่าทำไมปลาไหลจึงรู้ว่าต้องเดินทางไปเมอมิวดาในช่วงหนึ่งของชีวิต
หรือที่นกรู้วิธีสร้างรังโดยที่ไม่มีใครสอน ตัวอย่างในมนุษยืก็อย่าง
เช่น วงกลมมันดาลา ที่เป็นงานศิลปะที่พบเจอในหลายวัฒนธรรมแม้ว่าเราจะไม่มีการติดต่อสื่อสารกันมาก่อนก็ตาม
เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจที่จูงเชื่อว่ามนุษย์แชร์ร่วมกัน มีเหมือนๆ กัน เหมือน Cloud ส่วนกลางที่ใครมาดร็อปอะไรไว้ทุกคนก็เข้ามาดูได้
เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่หลายคนมองว่าแปลกใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ดูแฟนตาซี และหลุดกรอบวิทยศาสตร์เกินไป
การรวมด้านมืดในมุมของจูง/มนุษย์โดยสมบูรณ์
Jung เชื่อว่า ถ้าเราไม่มองด้านมืดของเรา มันก็เหมือนเราไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
พอเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ เราอาจปฏิเสธสิ่งที่เราไม่ชอบ เผลอทำร้ายคนรอบตัวโดยไม่รู้ตัว หรือไปโยนสิ่งที่เราไม่ชอบให้คนอื่น (Projection)
ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยด้วย เพราะเราเอาพลังงานบางส่วนไปกดทับ หลีกหนีส่วนนั้น ๆ ของตัวเอง
ถ้าเราเข้าใจและยอมรับตัวเองได้ทั้งหมด เราจะรับมือกับตัวเองได้ดีขึ้น นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นตามมา
และจูงก็เชื่อว่าถ้าเราสามารถดึงด้านมืดของเรามารวมกับส่วนอื่น ๆ ของจิตใจเราได้ จะเป็นการปลดล็อกจิตใจเราและนำไปสู่สักยภาพสูงสุดของตัวเราเอง
งานวิจัย
ข้อดีของการทำ Shadow Work หรือการทำความรู้จักด้านมืดของตัวเอง หลัก ๆ ก็จะช่วยในเรื่องของการตระหนักรู้ในตัวเองและการยอมรับตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า การบำบัดแบบโดยใช้แนวคิดของจุงโดยมีการใช้ Shadow Work ร่วม
ช่วยส่งเสริมสุขภาพการเป็นอยู่ที่ดี ปรับปรุงทักษะการเข้าสังคม และลดปัญหาสุขภาพกายได้
นอกจากนี้ยังช่วยให้เรา
- สามารถระบุและยอมรับลักษณะนิสัยด้านลบของตัวเองได้ดีขึ้น
- เข้าใจความยากลำบากที่คนอื่นเผชิญกับด้านมืดของตัวเองมากขึ้น
- รับมือกับแผลใจ ความโศกเศร้า และอารมณ์อื่นๆ ที่ยากจะรับมือได้ดีขึ้น
- ไปจนถึงช่วยให้เราเข้าใจคสพ.ระหว่างสังคม วัยเด็ก และองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกันสร้างออกมาเป็นตัวตนของเราเองมากขึ้นด้วย
แต่ยังไงก็แล้วแต่ Shadow Work เป็นอะไรที่วัดได้ยากและก็มีประเด็นเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วย
เลยทำให้ในปัจจุบันมีงานวิจัยที่ศึกษาผลของ Shadow Work ค่อนข้างน้อยน้อย
ส่วนใครที่อยากแชร์กิจกรรมของวันนี้ให้เราอ่านฝากติด #NoteToMyselfep4 #Aljit
หรือจะแท็กเรามาในช่องทางไหนก็ได้ เราจะได้ตามอ่านของทุกคนๆ :))
#NoteToMyselfep4 #Aljit
Post Views: 10