” วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข ” หนังสือที่อาจจะทำให้เราเข้าใจความทุกข์และมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น เราเคยมีความรู้สึกทุกข์มาก ๆ ไหม?
หรือมีความคิดที่ว่าทำไมเราช่างเป็นคนที่โชคร้ายที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกข์ใจจนไม่มีแรงจะทำอะ
Alljit ร่วมกับ อ่านแล้ว อ่านเล่า (ธนานนท์ โดมทอง) รายการที่จะพาคุณท่องเข้าไปในโลกของหนังสือ พร้อม ๆ กับท่องเข้าไปในจิตใจของตัวคุณเอง
หนังสือ ” วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข “
“วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข” หนังสือคลาสสิคของนักเขียนชื่อดัง Dale Carnegie (เดล คาร์เนกี) นักเขียนชาวอเมริกา
หนังสือเล่มนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า How to Stop Worrying and Start Living เขียนขึ้นมาปี ค.ศ 1948 นับจนถึงวันนี้ก็ 70 ปีแล้ว
คุณเดล คาร์เนกี้ เล่าถึงเหตุผลที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เขาเคยเป็นคนที่ไม่มีความสุขเพราะต้องทนทำงานที่เขาเกลียด เงินก็ไม่มีที่จะใช้หนี้
เมื่อเขาผันตัวมาเป็นอาจารย์และเป็นนักเขียน เขาก็ได้พบว่าปัญหาใหญ่ของคนส่วนมากก็คือเรื่องของความสุข เขาก็เลยเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลและสุดท้ายก็ได้เขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ออกมา
จงมีชีวิตอยู่ในห้องที่มีแต่วันนี้
เป็นคำพูดของ William Orser เป็นการเตือนให้เด็ก ๆ อยู่กับปัจจุบัน คุณ William บอกว่าเรื่องราวในอดีตหรือเรื่องราวเมื่อวาน ได้ปิดฉากลงไปแล้ว ส่วนเรื่องของวันพรุ่งนี้หรือว่าเรื่องของอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การที่เรามัวแต่ไปคิดถึงอดีตและไปคอยกังวลกับอนาคตที่ยังไม่เกิดจะทำให้จิตใจของเราว้าวุ่น สิ่งที่ควรจะทำจริง ๆ ก็คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุดพรุ่งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าจะดี
ให้คิดถึงกรณีที่แย่ที่สุด
เป็นวิธีของมิสเตอร์แคริเออร์ที่ใช้ในการต่อสู้กับความทุกข์ มี 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก เวลาที่เราเกิดความทุกข์ให้เราคิดถึงผลที่ร้ายแรงที่สุดของความทุกข์นั้น
ขั้นตอนที่สอง ให้เราเตรียมตัวที่จะรับมือ ถ้าเกิดว่าเราไม่มีทางเลี่ยงเราก็ต้องเตรียมตัวจะรับมือกับเหตุการณ์ บางทีอาจจะรู้สึกทุกข์น้อยลงก็ได้ถ้าเกิดปัญหาไม่ได้ใหญ่เท่าที่เราคิดไว้ในตอนแรก
ขั้นตอนที่สาม เมื่อเราใจเย็นลงแล้วให้ลองคิดวิธีการแก้ปัญหาอีกครั้งหนึ่ง พยายามลดความเสียหายจะเกิดขึ้น
เรื่องร้ายอาจจะกลายเป็นเรื่องดีก็เป็นได้ เมื่อเราทุกข์มาก ๆ ณ เวลานั้นที่เรามีความทุกข์ เราจะขาดสติ เรียกได้ว่าหูมืดตาบอด มองไม่เห็นทางออกอะไรเลย เห็นแต่ความมืดดำตรงหน้าเท่านั้น
ถ้าเราทำตามขั้นตอนแบบนี้ ก็จะทำให้เราดึงสติกลับมา แล้วก็ค่อย ๆ ใจเย็น ๆ หาวิธีการในการแก้ไข
ความทุกข์ทำลายสุขภาพ
ปัญหาที่เราหาทางแก้แล้วแต่ก็ยังแก้ไม่ได้ แถมยังทำให้เราไม่สบายทั้งร่างกายและจิตใจอีกลองเลิกคิดถึงปัญหานั้นดู บางปัญหาเวลาจะช่วยให้เราหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหาได้
เพราะว่าเวลาผ่านไปเราก็จะมีความรู้ใหม่ ๆ หรือเราไปเจอคนใหม่ ๆ มาช่วยให้เราแก้ไขปัญหานั้น จุดสำคัญเลยคือ เราจะต้องมีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตอยู่
เมื่อมีความทุกข์อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง
เป็นข้อแนะนำวิธีการแก้เมื่อเรามีความทุกข์แสนสาหัสจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ถ้าหากเกิดความทุกข์แสนสาหัสก็อย่าพยายามทำตัวให้ว่าง
เพราะว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ จิตใจของเราก็จะว้าวุ่น แล้วก็กลับไปนึกถึงเรื่องราวที่เรามีความทุกข์อยู่
กฎส่วนเฉลี่ย
เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่เขาเป็นคนขี้กังวล เธอไปเที่ยวภูเขากับสามี ขณะที่นอนอยู่ในกระโจมก็มีพายุพัดมา เธอและสามีมีกระโจมอยู่ด้วยกันสองหลัง กระโจมที่เธอนอนก็โดนพายุพัด มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา เธอก็เลยเป็นทุกข์กลัวว่ากระโจมจะปลิวไปด้วยแรงพายุ
สามีเห็นอย่างนั้นก็เลยบอกว่าเรามาเที่ยวกันโดยสำนักงานท่องเที่ยว ที่เขาได้มีประสบการณ์การกระโจมมาแล้ว 16 ปี แล้วกระโจมนี้ก็ถูกกางมาผ่านมาตั้งหลายฤดูกาลแล้วก็ไม่เคยที่จะโดนพายุพัดและถึงแม้ว่ามันจะโดนพัด เราก็ยังมีอีกหนึ่งหลัง
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากที่เธอเชื่อคำพูดของ สามีก็นอนหลับสบาย อันนี้ก็เป็นกฎค่าเฉลี่ย
กฎนี้จะช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นได้ ถ้าเกิดว่าความทุกข์ของเราพอเมานึกในเชิงสถิติแล้ว มีโอกาสเกิดน้อยมาก ๆ เราก็จะสบายใจมากยิ่งขึ้นว่าจริง ๆ แล้วโอกาสจะเกิดเหตุ อาจจะแค่ 2% หรือ 5% ซึ่งน้อยมาก ๆ
น้อมรับสิ่งที่เราหนีไม่พ้น
ถ้าเกิดปัญหามันมีทางแก้เราก็ต้องสู้ ถ้าเราประเมินแล้วแก้ไขไม่ได้ก็อย่าไปปล่อยให้ตัวเองอย่าจมอยู่กับความทุกข์นั้นนานเกินไป ลองยอมรับและปรับตัวที่จะอยู่กับปัญหานั้นให้ได้
ผลร้ายของความโกรธ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเกลียดใครสักคน แสดงว่าเรายินยอมให้เขาเข้ามามีอำนาจเหนือเราโดยที่เราไม่รู้ตัว เข้ามาวุ่นวายกับการนอนของเรา เข้ามาวุ่นวายกับการกินอาหารอย่างอร่อยกับครอบครัวของเรารวมถึงมาบดบังสุขภาพและความสุขของเราด้วย
ใครคนนัั้นก็น่าจะยินดีเพราะว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เรากลับทำร้ายตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะไปนึกโกรธเพราะไม่มีผลดีและมีแต่ผลเสีย
อย่าคาดหวังความกตัญญู
เราจะคอยกังวลในเรื่องของการตอบแทนบุญคุณ จากคนที่เราเคยไปช่วยเอาไว้คาดหวังได้แต่ว่าคาดหวังเล็ก ๆ ก็พอ ทางเดียวที่เราจะพบความสุขก็คือเราไม่ควรจะไปคาดหวังการตอบแทนจากคนที่เราไปช่วยเหลือ ให้เราคิดว่าการช่วยเหลือนั้นก็ทำให้เราได้ปรับปลื้มใจและมีความสุข
ไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
เขาได้เล่าถึงพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 9 ของราชวงศ์อังกฤษ ขณะนั้นมีอายุ 14 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียน ถูกเพื่อนเตะ เพื่อนเตะเพราะเขาคิดว่าในอนาคตถ้าเกิดเจ้าชายคนนี้ได้เป็นกษัตริย์ เขาก็สามารถที่จะไปคุยโม้กับคนอื่นได้ว่าเคยเตะกษัตริย์มาแล้ว
เราลองมองในอีกมุมว่าถ้าตัวเราโดนนินทาว่าร้ายไม่ได้เก่งหรือไม่ได้สำคัญจริง ๆ ก็ไม่มีใครที่จะมาอิจฉาหรือเอาเราไปนินทาเปรียบเหมือนไม่มีใครที่จะไปเตะหมาที่ตายแล้วเพราะว่าหมาไม่ร้อง มันไม่สนุก เขาพูดถึงเรื่องของการที่เราโดนนินทา ให้เราคิดว่าดีแล้วเราเก่งและมีความสำคัญให้เราภูมิใจในตัวเองดีกว่า
วิธีการพัก
เป็นวิธีการพักในแบบของแม่บ้านเป็นเรื่องของผู้ช่วยของคุณเดล ที่ได้เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับทางการแพทย์เป็นประชุมมีคนที่ป่วยที่มีสาเหตุมาจากความทุกข์รวมตัวกันมากมาย หลังจากที่สำรวจดูแล้ว เขาพบว่าคนเหล่านี้มีอาชีพเป็นแม่บ้านเป็นจำนวนมาก
หลังจากการประชุมนี้จัดไป 18 ปี ก็มีคนป่วยหายหลายพันคน วิธีนั้นคือการเล่าเรื่องทุกข์ใจให้ใครสักคนหนึ่งฟัง ถึงแม้ปัญหาจะยังไม่ถูกแก้แต่สุดท้ายบางคนก็ยิ้มได้
การที่คนเหล่านี้ได้ปรับทุกข์ ได้ระบายให้คนอื่นฟังหรืออาจจะได้รับคำแนะนำดี ๆ ได้รับความเห็นอกเห็นใจ เราก็อาจจะได้เข้าใจความทุกข์ของเรามากขึ้น เหมือนเป็นการทบทวนความคิดของตัวเอง
Post Views: 2,795