Twenty Five Twenty One

ยุคสมัยเบียดเบียนความฝันและความรัก “Twenty Five Twenty One”

เรื่องAdminAlljitblog

ซีรีส์เรื่อง Twenty Five Twenty One เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกทั้งอบอุ่น ทั้งเจ็บปวด แต่เป็นการเจ็บปวดที่ทำให้เราเติบโตขึ้นจริงๆ เป็นซีรีส์ที่ทำให้คนดูตั้งคำถามว่า ยุคสมัยเบียดเบียนความฝันและความรักจริงไหม?

 

และ สถานการณ์มีผลต่อการตัดสินใจในการใช้ชีวิตแค่ไหน? ซีรีส์เรื่องนี้ก็จะพาให้ทุกคนที่ได้ดูไปตอบคำถามกับตัวละครและบางครั้งก็ได้ตอบคำถามของตัวเองเช่นกัน

Twenty Five Twenty One

สารบัญ

เป็นซีรี่ส์ที่เล่าถึง 5 ตัวละครหลัก คือ นักเรียนมัธยมปลาย นาฮีโด โกยูริม มุนจีอุง จีซึงวาน และลูกชายมหาเศรษฐีเก่าที่ธุรกิจล้มละลาย แพคอีจิน ที่ต้องใช้ชีวิตผ่านยุคสมัยที่มีวิกฤต IMF เกิดขึ้น 

วิกฤต IMF

วิกฤต IMF คือ วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ของโลก ข้อมูลจากเว็บไซต์ The Matter กล่าวว่า วิกฤต IMF เกิดขึ้น เป็นเพราะความล้มเหลวของรัฐบาล จากการพยายามตรึงเงินวอนกับเงินดอลล่าร์สหรัฐ

 

ทำให้เงินวอนด้อยมูลค่าลง ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ หลาย ๆ ครอบครัวต้องเป็นหนี้และล้มละลาย 

 

ภาพรวมของวิกฤตนี้เลยก็ คือ ปัญหาเงินเฟ้อ มีหนี้สาธารณะเกิดขึ้น ทำให้ต้องมีการตัดเงินค่าจ้างพนักงาน ลดการจ้าง มีคนตกงานจำนวนมาก ธุรกิจล้มละลาย

 

ถ้าใครในยุคนั้นมีพยุงไม่ไหวก็อาจจะเกิดการจบชีวิต

 

ในเรื่องจะมีวิกฤติ IMF เกิดขึ้น ประโยคเด็ดของนาฮีโดคือ “ยุคสมัยมีสิทธิ์อะไรมาพรากความฝันฉันไป” ยุคสมัยที่ว่านี้ชื่อช่วง 1997-1998 ที่มีวิฤกต ต้มยำกุ้ง หรือ IMF นั้นเอง

 

ทำให้เราอยากชวนย้อนมองว่าเกิดอะไรขึ้นใน ‘ยุคสมัย’ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของตัวละคร ซึ่งเป็นภาพสะท้อนเรื่องจริงของหลายๆ คน ทั้งตังละคร แพคอีจิน ครอบครัวที่เคยเป็นคนที่ร่ำรวยก็ล้มละลาย

 

โดยพรากความฝัน เรียนไม่จบ และโดนสังคมกดทับ และนาฮีโดที่ต้องการย้ายโรงเรียนเพราะโรงเรียนเก่าไม่สนับสนุนกับกีฬาฟันดาบที่ต้องให้เงินในการสนับสนุน 

ตัวละคร

1. นาฮีโด (นักเรียนมัธยมที่มีพรสวรรค์ มีความฝันอยากเป็นคู่แข่งกับโกยูริม นักกีฬาฟันดาบในดวงใจ)

นาฮีโดเป็นคนมุ่งมั่น อย่างตอนที่คุยกับรุ่นน้องในชมรมฟันดาบ นาฮีโดยึดมั่นกับเป้าหมายมากๆ จากคำพูดที่ว่า “จะต้องเป็นให้ได้ ถึงตอนนี้จะทำไม่ได้ แต่ต้องเป็นให้ได้สักวัน”

 

อีกอย่าง คือ เป็นคนที่มีความหวังอยู่เสมอเลย นาฮีโดชอบพูดว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเศร้าไปซะทั้งหมด แล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องตลกไปซะทั้งหมด ขอให้เส้นทางข้างหน้ามีเรื่องตลกมากกว่าเดิม” 

 

2. แพคอีจิน (ชายหนุ่ม เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ธุรกิจล้มลายเพราะวิกฤต IMF)

รับบทคนสู้ชีวิตของแท้ เพราะธุรกิจล้มละลาย ครอบครัวต้องแยกกันอยู่ ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก ไม่ย่อท้อ และพิสูจน์ตัวเองให้หัวหน้าและทีมงานเห็นว่ามีความสามารถมากพอ 

 

3. โกยูริม (นักเรียนมัธยมที่เป็นนักกีฬาฟันดาบทีมชาติเกาหลี)

โกยูริม เป็นตัวละครที่ใจร้ายกับนาฮีโดมาก ทั้งที่นาฮีโดชื่นชมและช่วยเหลือในฐานะแฟนคลับมาโดยตลอด

 

แต่สุดท้าย “ทุกการกระทำมีเหตุผลซ่อนอยู่” เป็นประโยคที่ขึ้นมาในหัวพอได้รู้สาเหตุ เพราะความกลัว เพราะปมฝังใจ ที่ฟันดาบแพ้นาฮีโดสมัยยังเด็ก

 

และครอบครัวมีฐานะยากจน จะตัดสินใจอะไรสักอย่างต้องคิดถึงคนรอบข้างอยู่เสมอ ว่าจะทำให้พ่อแม่ลำบากไหม 

 

4. มุนจีอุง (นักเรียนมัธยมที่มีความสนใจในเรื่องดนตรี)

เป็นนักเรียนมัธยมคนหนึ่ง ที่มองจากมุมครูและผู้ปกครองคือเป็นเด็กเกเร เรียนได้ที่โหล่ของชั้น แต่จริง ๆ แล้วมุนจีอุงเป็นคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยาน

 

ในวัยเรียนก็จริงจังกับการร้องเพลง ในวัยทำงานก็จริงจังกับแฟชั่น จนมีธุรกิจเป็นของตัวเองในที่สุด 

 

5. จีซึงวาน (นักเรียนมัธยมที่มีผลการเรียนอยู่ในอันดับ 1 และเป็นสมาชิกชมรมวิทยุกระจายเสียง)

จีซึงวาน เป็นแบบอย่างเรื่องความยึดมั่นในความถูกต้อง stand up for ตัวเองและสังคม แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง 

ประเด็นที่น่าสนใจ

ยุคสมัยเบียดเบียนความรักและความฝันจริงไหม? สถานการณ์มีผลต่อการตัดสินใจในการใช้ชีวิตแค่ไหน?

1. ยุคสมัยเบียดเบียนความฝัน

อาจไม่ใช่ “ยุคสมัย” แต่เป็น “วิกฤตที่เกิดขึ้นในยุคสมัย” มากกว่าที่เบียดเบียน เพราะความฝัน นอกจากความพยายามแล้วยังต้องการปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เงิน โอกาส และอื่นๆ อีกมากมาย

 

อย่างสถานการณ์ของนาฮีโด ที่วิกฤต IMF ทำให้ชมรมฟันดาบถูกยุบ ทำให้การเดินทางความฝันตัวเองกลายเป็นเรื่องยากขึ้น 

 

ไหนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่อีก ถึงขนาดที่ต้องทำสิ่งที่ผิด เพื่อให้ถูกสั่งย้ายไปอยู่ในที่ที่มีชมรมฟันดาบ เพราะไม่กล้าขอตรงๆ  

 

และสถานการณ์ของแพคอีจินด้วยที่พอธุรกิจล้มละลาย ครอบครัวติดหนี้ ทำให้ต้องดิ้นรน จนสุดท้ายได้เป็นนักข่าว 

 

แพคอีจินพูดว่า “ผมว่าการไม่ได้ทำตามความฝัน ไม่ได้แปลว่าชีวิตล้มเหลว และการได้ทำตามความฝัน ก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะไปได้สวยด้วย ผมแค่อยากทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ออกมาดีก็พอครับ”

 

เพราะใช้ได้ในทุกยุคทุกสถานการณ์เลย 

2. ยุคสมัยเบียดเบียนความรัก 

สาเหตุที่ทำให้ความรักเป็นไปไม่ได้ เป็นอะไรที่เจอได้ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนทัศนคติ ระยะทาง และอื่นๆ จากในเรื่องจะเห็นว่าแพคอีจินกับนาฮีโดเป็นคู่ที่รักกันมากๆ

 

แต่สุดท้ายก็ต้องจบความสัมพันธ์ลงเพราะทัศนคติ และระยะทางที่ไกลกัน ตัวของแพคอีจินก็ไม่ได้พยายามมากพอกับความรักครั้งนี้ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่าพยายามมากแค่ไหนไม่มีอะไรมาชี้วัดเท่าความรู้สึกของตัวละคร

 

ตัดมาที่โกยูริมกับจีอุงที่รักระยะไกลเหมือนกันแต่พวกเขาพยายามช่วยพยุงความรักถึงจะไกลแต่รู้สึกไม่ได้ไกลกันเลย

3. คนที่มีพรสวรรค์ กับ คนที่พยายาม (?)

คนที่มีพรสวรรค์ก็ต้องพยายามเหมือนกัน เพราะการที่จะประสบความสำเร็จไม่ได้พึ่งความสามารถที่ติดตัวมาอย่างเดียว

 

อย่างนาฮีโดที่ถึงจะมีพรสวรรค์แต่มีปัจจัยมากมายที่ขัดขวางไม่ให้การเดินทางตามความฝันเป็นเรื่องง่าย 

 

ในเรื่องถ้าเปรียบคนที่มีพรสวรรค์เลยก็คือนาฮีโดที่เขาได้ดีเรื่องกีฬาฟันดาบตั้งแต่เด็ก แต่ในพรสววรค์ของเขาก็มีอุปสรรคที่เขาต้องพยายามถึงจะได้เป็นทีมชาติเหมือนกัน

 

ทำให้เห็นได้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเราต้องพกความพยายามด้วยเสมอถึงจะประสบความสำเร็จ

4. บ้านไม่ใช่เซฟโซน (?)

นาฮีโดและแม่มักจะทะเลาะกันอยู่เสมอ มองจากมุมนาฮีโดคือ แม่ไม่เคยเข้าใจ แม่ไม่เคยสนับสนุน แต่พอเรื่องราวดำเนินไป ความรู้สึกเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน

 

เพราะสุดท้ายแล้วต่างคนต่างพยายามทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว แต่แค่การสื่อสารระหว่างกัน การแสดงออกถึงความรู้สึกระหว่างกัน ไม่ค่อยเกิดขึ้นเฉยๆ ทำให้ไม่เข้าใจกัน 

ข้อคิด

1. หาความสุขให้เจอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

ฉากที่นาฮีโดพาแพคอีจินไปที่ก๊อกน้ำ หันก๊อกน้ำขึ้นด้านบนแล้วเปิดให้พุ่งเป็นน้ำพุ นาฮีโดบอกว่า ‘ยุคสมัยบีบให้ยอมทิ้งทุกอย่าง จะยอมทิ้งความสุขไปด้วยไม่ได้’

 

การหาความสุขให้ตัวเองถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยมันดีมากๆ มันทั้งสร้างรอยยิ้มให้กับตัวเองแล้วก็บางทีเวลาเรามีความสุขมันจะส่งผลให้คนรอบข้างเรามีความสุขไปด้วย

 

แต่ถ้าเราหาความสุขไม่เจอจริงๆ การที่ได้คนที่อยู่ข้างๆ เราพาทำอะไรที่สนุกและมีความสุขก็ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในตอนที่เราหาไม่เจอจริง ๆ ลองขอความช่วยเหลือจากคนข้าง ๆ เรากันนะคะคุณผู้ฟัง

2. ปล่อยวางสิ่งที่คนอื่นคิดเห็นเกี่ยวกับเรา 

ในเรื่อง นาฮีโดและโกยูริม โดนคนทั้งประเทศประนามอย่างหนัก เพราะความเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครห้ามความคิดใครได้ มุมมองที่ดีต่อใจ

 

คือ การมองความจริงว่า ทุกคนสนใจแต่ตัวเอง ถ้าลองนึกถึงตัวเราดู เราคงไม่เอาเวลาไปนั่งจำความผิดพลาดของคนอื่นไปตลอดหรอก 

 

เราคือคนที่โฟกัสความผิดพลาดและจุดแย่ที่สุด ลองปล่อยวางสิ่งที่เราคิดว่ามันแย่เกี่ยวกับตัวเองแล้วมาชื่นชมสิ่งที่ดีให้ตัวเองกัน

3. ถ้าทุกข์ใจ จะคร่ำครวญหรืองอแงบ้างก็ได้

เป็นคำพูดของคุณพ่อโกยูริมที่ชอบมาก ๆ บางครั้งสังคมอาจสอนให้เราต้องเข้มแข็ง ต้องไหว กับทุกๆ เรื่อง ทั้งที่จริงๆ แล้ว การปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้างไม่ใช่เรื่องผิด ดีซะอีก

 

เพราะช่วงเวลาเหล่านั้นจะทำให้ได้ทบทวนชีวิตตัวเอง

4. ทุกคนต่างมีด้านที่ไม่อยากให้ใครรู้กันทั้งนั้น 

สังคมไม่ได้เปิดโอกาสให้การแสดงออกถึงความรู้สึกแย่ๆ ลบๆ เป็นเรื่องปกติเท่าไหร่นัก ทำให้เวลาเราเศร้า เราอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเราลืมไปว่าจริง ๆ แล้ว

 

ทุกคนต่างมีเรื่องเศร้า มีปัญหา เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น อย่างในเรื่องที่ทุกคนไปเที่ยวทะเลด้วยกัน 

5. อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต 

ไม่มีใครเป็นดาวค้างฟ้า , เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่างโกยูริมเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าจะสำเร็จไปตลอด 

6. เสียใจเพราะทำไม่ได้ดีแต่เสียใจเพราะไม่ได้ทำ 

ฉากที่ทำให้ได้ข้อคิดนี้มา คือ ตอนที่นักกีฬาฟันดาบญี่ปุ่นหยิบกระเป๋าผิดไป นาฮีโดเลยต้องไปเอาคืน เพราะมีดาบที่จะต้องใช้ในการแข่งอยู่ในนั้น แต่จากลับรถไฟหยุดอยู่กับที่

 

แล้วนาฮีโดกลัวว่า ที่พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่าไหม? จะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งไหม? หลายๆ คนมักจะกลัวว่าจะล้มเหลวเวลาเริ่มทำสิ่งต่างๆ

 

แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้คิดว่า การที่ปล่อยให้ความกลัวหยุดเราไม่ให้ทำสิ่งต่างๆ น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเราจะต้องเสียดายและติดค้างในใจไปอีกนาน 

7. ใจดีกับคนอื่น แม้เพียงเล็กน้อย อาจเปลี่ยนวันของเขาหรือโลกของเขาเลยก็ได้ 

ประทับใจกับฉากที่โค้ชพาสมาชิกชมรมฟันดาบไปกินข้าวกันที่ร้านของโกยูริม แล้วแม่ของโกยูริมกอดให้กำลังใจนาฮีโด ที่โดนคนทั้งประเทศรุมประนามว่าขโมยเหรียญทอง

 

แล้วนาฮีโดบอกว่า การกอดครั้งนั้นทำให้ความเสียใจสลายหายไปทั้งหมด 

8. ลองทำสิ่งต่างๆ ให้ถึงจุดหนึ่งก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่

ตอนที่เยจี หนึ่งในสมาชิกชมรมฟันดาบอยากเลิกฟันดาบ แล้วไปเริ่มต้นกับสิ่งใหม่คือการทำขนม ตอนแรกโค้ชไม่ยอมให้ออก เพราะคิดว่าเยจีอาจจะแค่ท้อแท้ที่ไม่พัฒนาสักที

 

เลยให้เยจีฝึกซ้อมและแข่งขันจนถึงรอบรองก่อน แต่สุดท้ายเยจียังยืนยันว่าจะเลิกฟันดาบ บางครั้ง ความท้อแท้ทำให้เราเข้าใจผิดได้เหมือนกันว่าเราเลิกชอบสิ่งนั้นแล้ว

 

เพราะยากที่จะสนุกไปกับมัน ถ้าทำมันได้ไม่ดีการลองทำสิ่งต่างๆ ให้ถึงจุดหนึ่งก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่แบบนี้เลยเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับการค้นหาตัวเอง

เกร็ดความรู้

แพคอีจินเคยบอกนาฮีโดว่า “ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ว่าเธอจะเป็นแบบไหน ฉันก็รักเธอในแบบที่เธอเป็น” ในทางจิตวิทยามีความรักที่เรียกว่า ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข

 

คือ รักและหวังดีกับคนๆ นั้นโดยไม่หวังผลประโยชน์ ซึ่งความรักรูปแบบนี้ตามทฤษฎีของ Carl Rogers เป็นการที่คุณสามารถยอมรับในตัวตนของคนๆ นั้นได้ในระดับที่ลึกซึ้ง

 

ซึ่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ ให้ได้ทั้งตัวเองและผู้อื่น สิ่งสำคัญคือจะทำให้เกิดการตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง