Manifest คืออะไร?
Manifest หรือ จิตดลบัลดาล คือ ความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปารถนา ความสามารถในการดึงดูดสิ่งใดก็ตามที่เราอยากได้
อยากให้เข้ามาในชีวิต และทำให้เรากลายเป็นคนเเขียนเรื่องราวของตัวเราเอง แต่ Manifest สามารถทำได้จริง ๆ หรอ…
Manifest มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ควินตัมฟิสิกส์สอนไว้ว่า ทุกอย่างในจักรวาลประกอบด้วยพลังงาน ตัวเราเกิดจากพลังงาน สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน
ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ก็คือพลังงานถ้าเรามีพลังงานที่ High Vibe (ความรัก ความหวัง ความมั่นใจ ความสุขฯลฯ) ก็จะดึงดูดพลังงานเหล่านั้น
แต่ถ้าเรามี Low Vibe (ความโกรธ สิ้นหวัง เศร้า อิจฉา กลัวฯลฯ) ก็จะดึงดูด สิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่า พลังของจักรวาล
“มองภาพให้ชัดเจน”
วิธีแรกคือการมองภาพสิ่งที่อยากให้เกิด สิ่งที่เราอยากเป็น บ้านที่เราอยากอยู่ คนรักที่เราอยากมี ความสำเร็จ เงินในบัญชี เป็นภาพให้ชัดเจนก่อน
การนึกภาพใหชัดเจนและมีประสิทธิภาพ คือ ไม่ใช่แค่นึกเพียงสภาพแต่เราต้องดำดิ่งว่าเราได้ครอบครองสิ่งนั้นด้วย ให้จำไว้ว่า เราดึงดูดสิ่งที่เรารู้สึก
เช่น เราอยากอยู่บ้านหลังนี้ เราต้องนึกว่าเรารู้สึกอย่างที่จะได้อยู่บ้านหลังนั้นจริง ๆ ยิ่งถ้าเรารู้สึกได้ครอบครองจะยิ่งเข้มข้น สิ่งนั้นก้จะมาหาง่ายมากขึ้นเช่นกัน
ซึ่งเวลานึกเราต้องนึกสิ่งที่เราต้องการ และจะเป็นจริง ๆ พยายามตั้งสติเลือกสิ่งที่เราต้องการ
อย่านึกหรือเขียนสิ่งที่เราคิดว่าเราน่าจะต้องการหรือสิ่งที่คนอื่น คนรักเราต้องการแทนเรา ไม่เปรียบเทียบ จิตดลบัลดาล ของเรากับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
“ขจัดความกลัว และความกังขา”
การที่จะทำ Manifest ให้สำเร็จ ต้องมีความเชื่อที่มาจากจิตใต้สำนึกแต่อุปสรรคของความเชื่อ ก็คือ ความกลัว และความกังขา ไม่มั่นใจว่าจักรวาลจะจัดสิ่งเหล่านั้นมาให้จริง ๆ
โดยที่ความกลัวและความกังวลบางทีก็มาในรูปแบบ เพื่อนที่หวังดี ที่คอยบอกเราว่า อย่าหวังไกล อย่าฝันไกล เพราะอาจจะไม่สำเร็จ
เราต้องเชื่อก่อนว่าเรามีค่าควรที่จะได้รับสิ่งนั้น ระบุความกลัว ข้อกังขาให้ชัดเจนแล้วก็หาวิธีขจัด 2 สิ่งนั้นออกไป
เช่น หากเราเติบโตมาแบบไม่ได้รับความรักจากครอบครัว แต่เราอยากมีความรักที่ดี เราอาจจะเชื่อและะตอกย้ำตัวเองว่าชั้นไม่มีวันที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์หรือความรักดี ๆ
สิ่งเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นความเชื่อเราจนทำให้เราคิดแบบนั้นไปถึงแม้ว่าจะอยากมีความรักที่ดีก็จะยั้งตัวเองไว้ตลอดก็ได้
“การลงมือเชิงรุก”
การลงมือเชิงรุกก็ คือ การลงมือทำ เราลิสต์สิ่งที่อยากให้เป็นจริง แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำเปิดโอกาสให้ตัวได้ไปเจอ ได้ไปทำ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น
เช่น อยากมีแฟน เราลิสต์ไว้แล้ว แต่ไม่ได้พาตัวเองไปเจอสังคมใหม่ หรือการเล่นแอปเพื่อเกิดโอกาสให้ตัวเอง เปอร์เซ็นที่จะทำให้สำเร็จเรื่องคู่อาจไม่สำเร็จเท่าไหร่
เอาชนะบททดสอบของจักรวาล
แบบทดสอบของจักรวาล มาในรูปแบบอุปสรรค คน สิ่งท้าทาย จำเอาไว้ว่า
“Manifest จะสำเร็จ ต้องเชื่อว่าเรามีคุณค่าที่ควรจะได้รับสิ่งนั้น และแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะได้รับ”
เวลาที่เราไม่ได้รับในสิ่งที่เราวาดหวัง ให้เราเชื่อและมั่นใจไว้ว่า จักรวาลรู้ว่าเรามีค่าควรได้รับสิ่งดียิ่งกว่าเราปรารถนา
เช่น ถ้าคนที่เรากำลังคบทิ้งเราไป ให้ยอมรับความจริงว่าเขาไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา และขอบคุณสิ่งที่ผ่านไปต้อนรับสิ่งใหม่ที่กำลังเข้ามาหาเรา
โอบรับความสำนึกรู้คุณ โดยปราศจากเงื่อนไข
เราดึงดูดสิ่งที่เรารู้สึกเข้ามา รู้สึกดีก็จะดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามา เมื่อเรารู้สึก low vibe ก็จะดึงดูดความรู้สึกไม่ดีเข้ามา ซึ่งเมื่อเรารู้สึก low vibe ให้เรานึกถึงความสำนึกรู้คุณ 3 หมวด
- ความสำนึกรู้คุณตัวเอง
- ความสำนึกรู้คุณชีวิต (เช่น งาน ครอบครัว เพื่อน ที่อยู่ ฯลฯ)
- ความสำนึกรู้คุณโลก ใดใดที่เป็นสากล เช่น แสงอาทิตย์ วัฒนธรรม ฯลฯ
วิธีบ่มเพาะและโอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)
- ทุกคืนหรือทุกเช้า เขียนสิ่งที่เราซาบซึ้งใจ 3 หมวด หมวดละ 5 เรื่อง
- บันทึกความประทับใจเชิงบวก เขียนสิ่งดีทุกอย่างที่ประสบพบเจอในวันนั้น ๆ
เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบัลดาลใจ
แรงบันดาลใจ เป็นขั้วตรงข้ามของความริษยา
4 ขั้นตอนที่เราต้องทำเพื่อเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
- ตระหนักรู้ความริษยา
- รักตัวเอง เห็นอกเห็นใจ เมตตา และไม่ตัดสินตัวเอง
- ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การตัดสินผู้อื่นนี้ขับเคลื่อนจากไหน ความกลัวหรือความกังขาใดขับเคลื่อนสิ่งนี้
- เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบัลดาลใจ
การรักตัวเองคือพื้นฐานในทุกขั้นตอนของ Manifest ยิ่งเรารักตัวตนที่แท้จริงที่เราเป็นและที่กำลังจะเป็นมากเท่าไร เราจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรอบตัวน้อยลงเท่านั้น
ไว้วางใจในจักรวาล
ความไว้วางใจอาจเป็นการล่วงรู้ว่า ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราแค่รู้ว่ามันจะเกิด การล่วงรู้โดยปราศจากข้อกังขาว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราปรารถนาที่สุดกำลังมาหาเรา
เวลาที่เราไม่วิตกกังวลว่าจะได้อะไรมา เพราะเรารู้ดีว่าเราจะได้มาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น
และความไม่อดทนรอคือศัตรูของ Manifesting เวลาที่อะไรบางอย่างไม่เข้ามาหาเราโดยทันที จะเกิดพื้นที่ให้ความคิดเชิงลบ ความไม่มั่นใจ
สัญชาตญาณอาจเอนเอียงไปสู่ความคิดลบ โดยยอมให้ความกลัวและความกังขาเข้ามา
แต่ถ้าเราไว้วางใจในจังหวะเวลาอันเหมาะสม เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันและรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ควรเป็น
หนังสือเล่มนี้เหมือนไกด์ที่มีวิธีที่ทำให้เราได้ไปปรับใช้ชีวิตจริง เช่น การที่ให้เราเลือกใช้กฎแรงดึงดูดของการทำดี พูดดี
เหมือนเป็นการปลดปล่อยพลังงานในตัวเรา ให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และรักตัวเอง ในแบบที่เรามี
แล้วจะมีสิ่งที่เข้ากับเรา ดีที่สุดที่เราอยากมีเกิดขึ้นกับเราเมื่อเราเปิดรับพลังงานเหล่านั้น 🙂
Post Views: 733