The Intern

ไม่มีคำว่า ‘สาย’ สำหรับการเริ่มต้นทำในสิ่งดีๆ ( The Intern )

เรื่องAdminAlljitblog

ในยุคที่ทุกคนต้องประสบพบเจอเรื่องราวในชีวิตมากมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียด ความเหนื่อยล้า การได้ดูหนังหรือซีรี่ส์ดี ๆ สักเรื่อง อาจช่วยบรรเทาความเครียด ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นได้

 

Alljit ร่วมกับ มิ้น พนิดา มิตรวงษา จะมาแนะนำ รีวิว วิเคราะห์ ชวนทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับ ภาพยนตร์ดีต่อใจเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะทำให้วันของทุกคนเป็นวันที่ดีขึ้นได้ และวันนี้เราจะมาพูดภาพยนตร์ชื่อ The Intern ค่ะ

เวลายิ่งผ่านไปเท่าไหร่ อายุยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เคยไหมคะที่ในชีวิตรู้สึกว่าตัวเองแก่เกินกว่าจะเริ่มต้น แก่เกินกว่าจะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ รู้สึกเบื่อกับวิถีชีวิตเดิม ๆ ต้องอดทนเดินอยู่บนทางที่ไม่ใช่ เพราะตัดสินใจไปแล้ว  

 

ภาพยนตร์เรื่อง The Intern โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋ หนังคอเมดี้ที่ออกฉายในปี 2015 กำกับโดยแนนซี เมเยอร์ส นำแสดงโดย รอเบิร์ต เดอ นิโร และแอนน์ แฮททาเวย์ 

 

หากคุณผู้ฟังต้องการหนัง Feel good สักเรื่องที่จะช่วยสร้างรอยยิ้ม หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนวันที่หม่นหมองให้กลายเป็นวันที่สดใสขึ้นได้

 

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรดู  ยิ่งไปกว่านั้นหนังเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจ รวมถึงช่วยเพิ่มความกล้าในการเริ่มต้นใหม่กับบางสิ่งบางอย่างให้กับเราได้อย่างดีเลย

 

The Intern เล่าเรื่องราวของ เบน วิทเทเกอร์ ชายวัย 70 ปี ที่ตัดสินใจสมัครเป็นพนักงานฝึกงานในบริษัท About the fit ที่มี จูล ออสติน เป็นเจ้าของบริษัท

 

หลังจากที่ผ่านการสัมภาษณ์และได้รับการเลือกให้เป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทขายเสื้อผ้าออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดแห่งนี้

 

เบนได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานฝึกงานในทีมของจูลและเรื่องราวของทั้งสองจึงได้เริ่มต้นขึ้น 

The Intern : ตัวละคร

1.เบน วิทเทเกอร์

เบน วิทเทเกอร์ ชายวัย 70 ปี พ่อหม้ายที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อ 3 ปีก่อน ถึงแม้จะเกษียณออกจากบริษัทพิมพ์สมุดโทรศัพท์แล้ว

 

แต่เบนไม่เคยหยุดใช้ชีวิต ไม่เคยคิดว่าอายุเป็นอุปสรรค เบนท่องเที่ยวทั่วโลกและทำสิ่งที่อยากทำ

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง โชคชะตาพาให้เบนได้ไปรู้จักบริษัท About the fit ที่กำลังมีโครงการรับสมัครพนักงานฝึกงานรุ่นใหญ่ ในใบปลิวเขียนไว้ว่า

 

“ผู้สมัครต้องมีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีทักษะที่เกี่ยวข้องกับองค์กร มีความสนใจในด้าน e-commerce รวมถึงมีทัศนคติแบบ roll up your sleeves

 

Roll up your sleeves คำนี้ไม่ได้หมายความว่า พับแขนเสื้อขึ้น แต่เป็นศัพท์แสลง หมายความว่า “การมีทัศนคติแบบสู้งาน พร้อมรับมือกับความท้าทาย”

ความแปลกใหม่ที่เบนได้พบเจอ

1. เบนได้เริ่มใหม่กับงาน 

-เบนต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 

2. เบนได้เริ่มใหม่กับความรัก 

-เบนได้เจอกับ ฟิโอนา หมอนวดประจำบริษัท เบนที่สูญเสียภรรยาและฟิโอนาที่ผ่านการหย่าร้าง ในชีวิตจริงด้วยอายุของทั้งคู่ คงไม่มีใครคิดว่าความรักครั้งนี้จะเป็นไปได้ แต่ทั้งสองที่มีหัวใจเหมือนหนุ่มสาว ไม่คิดว่าอายุเป็นอุปสรรค จึงตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ 

2. จูล ออสติน

ประธานบริษัท About the fit ที่ทำงานตลอดเวลา แถมยังเกลียดการใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ พนักงานในบริษัทแนะนำเกี่ยวกับจูลให้เบนฟังว่า

 

จูลชอบปั่นจักรยานในสำนักงาน เพราะนับว่านั่นเป็นการออกกำลังกายไปในตัวนอกจากนี้จูลยังไม่ถูกกับผู้สูงอายุอีกด้วย

 

เวลาอยู่ที่บ้าน จูล ออสตินเป็น Working mom ที่อาศัยอยู่กับครอบครัว ได้แก่ เพจ ลูกสาวและ แมท สามีของเธอที่เป็น House husband หรือ Stay at home husband

 

ซึ่งเบน วิทเทเกอร์ เรียกว่า แมทคือสามีแห่งยุคศตวรรษที่ 21

 

ในยุคก่อนกรอบความคิดทึ่ยึดถือกันเกี่ยวกับคู่สมรสคือ ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลลูก ปรณนิบัติสามี ทำอาหารทำความสะอาด ตรงกับคำว่า

 

“ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง”  

 

แต่ครอบครัวของจูลและแมทตรงกันข้าม นั่นทำให้ครอบครัวของทั้งสองถูกนินทาในหมู่คุณแม่ของเพื่อนลูก ที่ยังยึดติดกับกรอบความเชื่อและวัฒนธรรมเดิม ๆ

 

แต่ในปัจจุบัน หากเรียกผู้ที่ทำงานเลี้ยงครอบครัวว่าหัวหน้าครอบครัว ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างสามารถเป็นได้ทั้งนั้น

 

และไม่ใช่เพียงแง่ของครอบครัวเท่านั้น ในบริบทของการทำงาน ผู้หญิงสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในบริษัทได้เช่นกัน 

3. เบคกี้ 

พนักงานที่เป็นเหมือนเลขาของจูล ทราบข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับจูล ถึงขนาดรู้ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณแม่จูลสีอะไร เบคกี้คอยเตือน คอยจัดการทุกอย่าง

 

ฉากที่จูลให้เบนเป็นพนักงานอีกคนที่จะช่วยงาน เบคกี้ร้องไห้และบอกว่า “ฉันไม่อยากให้ใครคิดว่าฉันไม่ทำงานจนต้องให้พนักงานฝึกงานมาช่วย”

 

เบคกี้ที่ทุ่มเทกับจูลและบริษัทเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่คงจะเป็นไปได้ยากที่เมื่อทุ่มเทแล้วจะไม่คาดหวังว่า ตัวเองจะได้รับการเห็นค่าและเห็นความสำคัญมากกว่าใคร

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในความเป็นจริง ถึงแม้คุณจะเต็มที่แค่ไหน ไม่ได้หมายความว่าหากขาดคุณไปแล้วบริษัทจะไปต่อไม่ได้ 

ข้อคิดจากเรื่อง

“ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะเริ่มต้น” 

ไม่ใช่ทุกคนที่อยากใช้ชีวิตช้า ๆ เรียบ ๆ ไปซะทั้งหมด และนั่นไม่ผิด ทุกคนมีสิทธิ์เลือก อย่ายอมแพ้ในการเปิดโอกาสให้ตนเองได้เจอและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นการไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำอะไรที่ไม่เคยทำ หรือแม้กระทั่งสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่ไม่เคยรู้จัก

 

อีกอย่างบางครั้งคุณอาจจะคิดว่าเมื่อแก่ตัวลง โอกาสต่าง ๆ จะหมดไป จึงต้องรีบเรียน รีบทำงาน รีบเลื่อนตำแหน่ง รีบซื้อบ้านซื้อรถ รีบประสบความสำเร็จ

 

ยิ่งสภาพแวดล้อมในยุคนี้ที่ไลฟ์สไตล์แบบเร่งรีบเป็นเรื่องปกติ ใครจะสามารถไม่แคร์ ไม่สนใจ ได้ทั้งหมด 

“การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับกลุ่มคนที่ต่างวัยเป็นเรื่องที่ดี”

 

ถึงแม้ช่วงแรกจูลจะไม่ยอมรับเบน แต่หลังจากที่ทั้งสองได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะตอนที่เบนอาสาเป็นคนรับรถของจูลแทนไมค์และตอนที่ทั้งคู่เลิกงานดึก

 

จึงได้พูดคุยกัน ทุกอย่างทำให้จูลกับเบนได้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน จูลเย็นลง ช้าลง

 

ในขณะที่เบนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมายจากการทำงานร่วมกับจูล ในท้ายที่สุด จูลบอกเบนว่า เบนเป็นคนหนึ่งที่พึ่งพาได้ในชีวิต

 

หากเราลองเปิดใจ เราอาจได้ a person who you know you can count on เหมือนจูลก็ได้