Trust issue ความไว้ใจ บางคนต้องเผชิญกับประสบการณ์เชิงลบที่ไม่ดีในอดีต
อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความไว้ใจ แล้วส่งผลเสียต่อมิตรภาพกับครอบครัว เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งกับตัวเรา
Trust issue ปัญหาด้านความไว้ใจ
“Trust issue” เป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป เพื่อบ่งชี้เมื่อมีคนแสดงพฤติกรรมที่ไม่ไว้วางใจเป็นนิสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ความไม่ไว้วางใจถ้าเป็นระยะยาวจะผลต่อชีวิตประจำวัน กับทั้งตัวเราเองและกับความสัมพันธ์รอบตัว
สัญญาณของการขาดความไว้วางใจ
- ตั้งคำถามถึงการกระทำของคนอื่นที่ปฏิบัติกับเรา เป็นเจ้าหนูจำไมแทบทุกเรื่อง
- ถึงแม้ว่าคนอื่นจะใจดีกับเราแต่เราก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงใจดีกับเรา เขาต้องการอะไรจากเรากันแน่
- สงสัยไม่แน่ใจในตัวเอง เป็นความสงสัยที่ทำร้ายตัวเอง
- ตีตัวออกห่างจากผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวัง
- Needy Relationship การขัดสนในความสัม เป็นความสัมพันธ์ที่เราต้องการความรักความมั่นใจจากคู่ของเรา ไม่ใช่แค่กับแฟน แต่หมายถึง เพื่อน หรือ ความสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยโดยความต้องการที่มากเกินกว่าอีกฝ่ายจะให้ได้
- มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
หวาดระแวง VS ไม่ไว้ใจ
ถ้าเราพูดถึงความไม่ไว้ใจแล้วเหมือนจะมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่คำว่าหวาดระแวง กับ ไม่ไว้ใจ จริง ๆ แล้วสองคำนี้แตกต่างกัน
โดยทั่วไปความไม่ไว้วางใจมีรากฐานมาจากความเป็นจริง เราเคยพบเจอกับบางสิ่งที่ทำให้สงสัยในความน่าเชื่อถือของผู้อื่น
เช่น การที่โดนพ่อแม่โกหก การโดนเพื่อนแกล้ง การโดนนอกใจ แต่ ความหวาดระแวงหมายถึงความสงสัยและความหวาดระแวงอย่างไม่มีเหตุผล รุนแรง
เช่น เคยโดนแฟนเก่านอกใจ ส่งผลให้ระแวงแฟนที่คบอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคนปัจจุบันยังไม่ได้ทำอะไรใช้ชีวิตปกติสุขกับเราแต่เราก็ไประแวงเขาซะอย่างงั้น
Kali Wolken ที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่มีใบอนุญาตใน Grand Rapids รัฐมิชิแกนอธิบาย…
“ ความไว้วางใจตั้งอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่เรียนรู้ ความหวาดระแวงไม่มีที่มา ด้วยความหวาดระแวง จึงไม่มีหลักฐานสนับสนุนความสงสัยที่เกิดขึ้นกับบุคคลหรือประสบการณ์”
ปัญหาใน Trust issue มาจากไหน?
ประสบการณ์ในวัยเด็ก
ความไว้วางใจเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงแรก ๆ ของชีวิต สังคมแรกที่เราเจอคือสังคมของครอบครัวเราพึ่งพาพ่อแม่
นักจิตวิเคราะห์ เอริค อีริคสัน เรียกช่วงของชีวิตนี้ว่าระยะความไว้วางใจกับความไม่ไว้วางใจและเขาเชื่อว่าระยะนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางการพัฒนาในอนาคต
คนที่เติบโตมากับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนฝูงที่ให้การสนับสนุนและไว้วางใจได้อาจมีแนวโน้มที่จะเชื่อใจผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้ตั้งแต่เนิ่น
คนสำคัญในชีวิตของเราสามารถส่งผลต่อระดับความไว้วางใจของเราในภายหลังได้ ถ้าเราเชื่อใจผู้คนรอบตัวเรา และพวกเขาตอบแทนความไว้วางใจนั้น
เราจะใกล้ชิดกับพวกเขามากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากความไว้วางใจนั้นถูกทำลาย เราอาจพบว่าตัวเราเองไว้วางใจผู้อื่นน้อยลงในอนาคต
ทฤษฎีรูปแบบความผูกพันแสดงให้เห็นว่าการที่เราผูกพันกับคนที่เราอยู่ด้วยในวัยเด็กส่งผลโดยตรงต่อวิธีสร้างความสัมพันธ์ของเราเมื่อเป็นผู้ใหญ่
รูปแบบความผูกพันที่ไม่ปลอดภัยคิดว่าเป็นผลมาจากผู้ปกครองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการบางอย่างเมื่อเราโตขึ้น
เช่น การเลี้ยงดูที่ปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ อาจนำไปสู่รูปแบบสัมพันธ์ความผูกพันที่น่ากังวล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความกลัวการละทิ้งในภายหลังในชีวิต
ในปี 2015 การศึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ซึ่งสืบสวนความไม่ไว้วางใจในความสัมพันธ์แบบคู่รัก พบว่ารูปแบบความผูกพันเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับความไม่ไว้วางใจในความสัมพันธ์
ไม่ไว้วางใจพฤติกรรมที่คาดการณ์ไว้ เช่น ความหึงหวง ความรุนแรงที่ไม่ใช่ทางกายภาพ การทำร้ายจิตใจ และพฤติกรรมการสอดแนม
- การกลั่นแกล้งหรือการปฏิเสธ
ประสบการณ์ระหว่างบุคคลและสังคมส่งผลต่อความไว้วางใจที่เรามีต่อผู้อื่น การถูกรังแกหรือเผชิญกับการถูกปฏิเสธจากสังคมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
สามารถนำไปสู่ปัญหาความไว้วางใจได้ หากคนรอบข้างทำร้ายเราซ้ำ ๆ อาจเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อใจใครเป็นผู้ใหญ่เพราะกลัวว่าเราจะเจ็บอีกครั้ง
- ประสบการณ์ความสัมพันธ์เชิงลบ
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีทำให้การไว้วางใจผู้อื่นเป็นเรื่องยาก เช่น แฟนที่ใช้ความรุนแรงทางอารมณ์อาจทำให้ยากสำหรับเราที่จะเชื่อใจผู้อื่นในอนาคต
เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายหรือเอาเปรียบเรา หรือการนอกใจก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดจนทำลายความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน
สภาพสุขภาพจิตหรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจยังสามารถส่งผลต่อปัญหาความไว้วางใจได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อวิธีที่เรามองตัวเองและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น ปัญหาความไว้วางใจอาจแสดงออกมาเป็นอาการของโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD)
สร้างความไว้ใจกลับมาได้ยังไง
การที่จะกลับมาเชื่อใจ วางใจคนอื่นสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของ Trust issue เป็นเรื่องที่ยาก
แต่วิธีการบางอย่างอาจช่วยให้เราเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและไว้วางใจได้มากขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ
- เริ่มต้นสร้างความไว้วางใจจากเรื่องเล็ก ๆ
มองหาวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะไว้วางใจผู้อื่น สิ่งที่จะทำให้เราวางใจคนอื่นได้มากที่สุดก็คือตัวเรา เริ่มจากการผลักดันตัวเองให้เชื่อใจผู้อื่นในปริมาณเล็กน้อย
จนกว่าเราจะสามารถเชื่อใจบางสิ่งที่สำคัญกว่าได้ เมื่อมีคนพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถรับความไว้วางใจจากเราในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราอาจพบว่าตัวเองสบายใจขึ้นโดยขึ้นอยู่กับพวกเขามากยิ่งขึ้น
พยายามมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น เริ่มจากความเชื่อที่ว่ามีคนที่ใจดีที่มองอะไรดี ๆ ให้เราจริง ๆ การเปิดใจ เปิดกว้าง และทัศนคติในแง่ดีอาจช่วยลดความไม่ไว้วางใจผู้คนโดยทั่วไปได้
การเชื่อใจง่ายเกินไปอาจทำให้ผิดหวังได้ เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ที่จะไว้วางใจผู้คนในระดับที่ต้องการ เช่น กับกลุ่มเพื่อนคนนี้เราพูดเรื่องนี้ไ
ด้ กับอีกกลุ่มเราสามารถเลือกวางใจในเรื่องนี้ได้ ซึ่งบุคคลในชีวิตเราอาจต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้ ซื่อสัตย์ และคู่ควรแก่ความไว้วางใจของเรา
คนทุกคนเวลาทำผิดถ้าเขายังอยากที่จะมีเราอยู่ในชีวิตเขาย่อมต้องปรับปรุงตัว ถ้ามีสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเราลองวางใจและให้โอกาสเขา
การขาดความไว้วางใจในผู้คนส่งผลต่อความสามารถในการทำงานได้ตามปกติหรือทำให้เกิดความทุกข์ ลองพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
วิธีบำบัดที่แตกต่างกันหลายวิธีสามารถช่วยค้นพบและแทนที่ความคิดเชิงลบที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการไว้วางใจ
ที่มา :
How to Cope When Trusting Is a Challenge
Post Views: 2,428