วันนี้จะพาไปรู้จักหนังสือเล่มดังอีกเล่มหนึ่งของ Dale Carnegie (เดล คาร์เนกี) ที่เป็นนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกา หนังสือมีชื่อว่า วิธีชนะมิตรและจูงใจผู้คน
Alljit ร่วมกับ อ่านแล้ว อ่านเล่า (ธนานนท์ โดมทอง) รายการที่จะพาคุณท่องเข้าไปในโลกของหนังสือ พร้อม ๆ กับท่องเข้าไปในจิตใจของตัวคุณเอง
วิธีชนะมิตรและจูงใจผู้คน
เป็นหนังสือคลาสสิคระดับตำนาน ของ Dale Carnegie (เดล คาร์เนกี)
เล่มนี้จะว่าด้วยวิธีการ ปฏิบัติตัวกับผู้อื่น วิธีที่จะทำให้คนชอบคุณรวมไปถึงเทคนิคในการจูงใจคนและก็การเปลี่ยนแปลงผู้อื่นโดยที่ไม่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเสียหรือว่าต้องโกรธกัน
เรียกได้ว่าเล่มนี้เป็น ต้นฉบับเลยของหนังสือ How to ในยุคปัจจุบันเลยเพราะว่าเขียนมานานมาก ๆ หนังสือที่ผ่านมาแล้วแต่เนื้อหายังสามารถใช้ได้ดีอยู่เลยครับ
วิธีชนะมิตรและจูงใจผู้คน : เทคนิคสำคัญในการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น
ตำหนิผู้อื่นมีแต่ผลเสียทั้งนั้น
ผู้เขียนกล่าวถึง อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนดังคนนึงของอเมริกาว่า ในสมัยที่ลินคอล์นยังเป็นวัยรุ่นเขามีนิสัยที่ชอบติเตียนถากถางผู้อื่น
แต่เมื่อได้โตขึ้นเขาได้พูดไว้ว่าอย่าไปติเตียนผู้อื่นเพราะถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้นเราอาจจะติเตียนผู้อื่นได้เช่นกัน
การตำหนิติเตียนมันมีแต่ผลร้ายทั้งนั้นไม่มีผลดีเลยที่สำคัญไม่มีใครที่คิดว่าเป็นตัวเองผิดเลย ซึ่งการตำหนิติเตียนแตกต่างจากการให้ข้อเสนอแนะ ฉะนั้นจึงควรใช้ให้ถูกกับสถานการณ์
ทุก ๆ คนอยากจะเป็น ‘คนสำคัญ’
มีคนมากมายที่ยอมเสียเงินทำบุญให้กับมีคนหรือว่าสถานที่ ที่ไม่มีทางที่จะได้พบหน้ากันอาจจะเหมือนกับการบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลหรือว่าโรงเรียนที่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียง
ไม่มีใครที่ตั้งใจทำงานเมื่อถูกติเตียนแต่จะตั้งใจมากขึ้นเมื่อได้รับคำชม ได้รับการยกย่องจากคนอื่นอย่างจริงใจ วิธีการที่ดีกว่าก็คือให้คุณลองพยายามหาข้อดีสักข้อหนึ่ง การชมจะดีกว่าและทุกคนอยากจะเป็นคนสำคัญ
พูดในสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามต้องการ
Dale Carnegie (เดล คาร์เนกี) กำลังจะจัดสัมมนาแต่ว่าค่าเช่าของห้องประชุมที่เขาจะไปจัดสัมมนาถูกเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวเลยคือ 300 เปอร์เซ็นต์
บัตรที่จะเข้าชมสัมมนาก็ขายไปหมดแล้วเลยเกิดปัญหาว่าจะทำต่อไปอย่างไรดี?
Dale Carnegie ไปต่อรองกับเจ้าของว่าการที่คุณจะขึ้นค่าเช่ามากขึ้นมันก็ทำให้รายได้ของคุณนั้นลดลงนะ
เพราะว่าไม่มีใครมาเช่าห้องประชุมคุณแล้วผมก็ต้องย้ายไปจัดที่อื่นแต่ถ้าเกิดคิดในมุมกลับว่า มีคนมาฟังที่ผมพูดเยอะมากเหมือนกับเป็นการโฆษณาสถานที่ของให้คุณไปในตัวเลยอาจจะมีสำนักพิมพ์มาทำข่าวด้วย
สุดท้ายเจ้าของห้องประชุมก็ขึ้นราคาแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จาก 300 เปอร์เซ็นต์ สังเกตจากประโยค Dale Carnegie ไม่ได้พูดเลยว่าเขาต้องการจะขอลดค่าเช่าเลย เขาใช้วิธีการก็คือ
การเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่คนตรงข้ามต้องการว่าเขาอยากจะได้อะไรแล้วไม่ต้องการเสียอะไร
เทคนิคที่จะทำให้คนอื่นชอบคุณ
จงเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างแท้จริง
การเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างจริงใจคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ดี การที่เราใส่ใจผู้อื่นรับฟังในความต้องการของผู้อื่นจะทำให้เราได้รับอะไรที่ดีกลับมาโดยที่เราไม่ได้ร้องขอ
การยิ้ม
การยิ้มเป็นวิธีง่าย ๆที่ทำให้ผู้อื่นได้ประทับใจตั้งแต่แรกผม เป็นการแสดงออกความเป็นมิตร การยิ้มเหมือนกับการดึงดูดให้คนอยากจะเข้ามาทำความรู้จักกับเรานะ สำคัญเลยต้องทำอย่างจริงใจ
ชื่อของบุคคลสำคัญ
แอนดรูว์ คาร์เนกี ในวัยเด็กมีกระต่ายแต่ไม่มีเงินในการให้อาหารกระต่ายเลยคิดว่าถ้ามีคนให้อาหารกระต่ายจะตั้งชื่อคนให้อาหารเป็นชื่อกระต่าย เมื่อเขาเติบโตขึ้นได้เป็นมหาเศรษฐีจึงตั้งชื่อสินทรัพย์ของเขาเป็นชื่อของบุคคลที่ให้อาหารกระต่าย
การเป็นผู้ฟังที่ดี
การสนับสนุนให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องของเขา ผู้เขียนยกตัวอย่างว่าในห้างมีร้านขายเสื้อร้านหนึ่งลูกค้าซื้อไปแล้วสีตกทำให้กลับมาที่ร้าน พนักงานขายทำท่าทางไม่อยากรับฟังทำให้ลูกค้าโมโห จนผู้จัดการเดินมาจัดการรับฟังปัญหาของลูกค้าและดุลูกน้อง
ถ้าลูกค้าไม่พอใจต้องฟังปัญหาของลูกค้าจนกว่าลูกค้าจะดีขึ้น เมื่อลูกค้าได้ยินจึงเปลี่ยนจากโมโหเป็นรับฟังและถกถางถึงปัญหาเสื้อปัญหาจึงจบได้ด้วยดี
สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ
การที่เราอยากจะเป็นคนที่คนอื่นชอบเราต้องสนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายชอบ นอกจากที่เราจะรับฟังคนอื่นแล้วการที่เราใส่ใจสนใจในบทสนทนาของฝ่ายตรงข้ามแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ่งประทับใจเรา
ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ
ถ้าเราพูดขาให้สุภาพกับคนที่ทำอาชีพให้บริการจะทำให้เราได้รับการบริการที่ดีอย่างเหลือเชื่อเลย เพราะบุคคลเหล่านี้จะไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าไหร่
การเปลี่ยนแปลงผู้อื่นโดยไม่ผิดใจกัน
เริ่มสัมมนาด้วยการยกย่องอย่างจริงใจ
เป็นจิตวิทยาที่ง่าย ๆ แต่ว่าได้ผล ให้ชมก่อนแล้วค่อยตำหนิหรือว่าเตือน เวลาที่คิดจะเตือนหรือว่าจะตำหนิใครไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเป็นลูกน้องหรือว่าเป็นลูกให้
เราลองพูดชมอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนแล้วค่อยตำหนิว่าเตือนนาทีหลังแล้วลองดูว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงแตกต่างจากเดิมหรือเปล่า
อย่าไปเตือนผู้อื่นตรง ๆ ว่าเขาผิด
การทำผิดมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนเลยแต่ว่าการเตือนแบบตรง ๆ จะทำให้เกิดความแค้นเคือง ทางที่ดีใช้วิธีการที่เราละมุนละม่อมดีกว่าครับ
นึกถึงความผิดของคุณก่อนที่จะไปตำหนิคนอื่น
เวลาที่เห็นใครทำผิดเราต้องลองในมุมของเราก่อนว่าเราเคยทำสิ่งนี้ผิดพลาดไหม? สิ่งที่เขาทำผิดเป็นการผิดครั้งแรกหรือเปล่า? ถ้าเราเคยเราอย่าไปตำหนิคนอื่นลองใช้วิธีการนึกถึงตัวเองก่อนแล้วค่อยไปตำหนิคนอื่น
ขอความเห็นแทนการออกคำสั่ง
ลองใช้วิธีขอความเห็นคนอื่นมองว่าสั่งให้คนอื่นทำ ถ้าเราใช้วิธีการขอความเห็นจะทำให้เราได้งานที่มีเปอร์เซ็นความสำเร็จมากกว่าการออกคำสั่ง
พยายามรักษาหน้าของอีกฝั่งเอาไว้
ไม่มีใครหรอกที่ชอบโดนดูถูกหรือว่าชอบโดนตำหนิให้อาย แม้แต่พนักงานที่อยู่ตำแหน่งต่ำ ๆ ก็ควรจะได้รับการปฏิบัติที่ดีให้พยายามรักษาหน้าของอีกฝั่งเอาไว้
ยกย่องผู้อื่นถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
การยกย่องหรือว่าการชมถึงแม้จะทำให้คนเหล่านั้นทำดีขึ้นเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การชมเปรียบเสมือนกำลังใจเป็นแรงผลักดันให้สุดท้ายคนนั้นดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลย
อุปโลกน์ว่าฝั่งตรงข้ามเป็นคนดีแล้วมันจะเป็นจริง
ผู้เขียนเล่าว่าสาวใช้ที่ได้รับจ้างมาได้มีลักษณะนี้ไม่ค่อยเอางาน แต่อุปโลกน์และชื่นชมเขาไปก่อนว่าเขาเป็นคนสะอาด ทำให้เมื่อสาวใช้ได้ยินจึงทำความสะอาดได้สะอาดจริง ๆ
ทำให้ความผิดเป็นของง่ายที่จะแก้ไข
การที่เราบอกคนอื่นเป็นคนที่ไม่มีพรสววรค์สุดท้ายจะเป็นการลดความมั่นใจในตัวเขา เราควรจะทำตรงกันข้ามมองกำลังใจจะสิ่งทำให้เขาทำสิ่งที่คิดว่ายากหรืออะไรที่ผิดไปมาแก้ไขได้
ทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะทำให้เขาทำในสิ่งที่คุณเสนอแนะไป
พยายามที่เสนอแนะในสิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำเขาทำให้เราด้วยความสุข
เนื้อหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้หวังว่าคุณผู้อ่านจะทำเทคนิคต่าง ๆ ไปปรับใช้
Post Views: 3,324